ว่านหางจระเข้
เป็นพืชพื้นเมืองแถบทวีปแอฟริกา เป็นพืชที่ชอบอากาศร้อนชื้น ดังนั้นจึงมีการขยายการปลูกไปในแถบประเทศที่มีอากาศร้อนทั่วไป เป็นไม้ล้มลุกอายุหลายปี ใบเดี่ยว เรียงเวียนใกล้พื้นดิน รูปใบหอก ยาว ขอบใบเป็นหนามแหลม เนื้อใบอวบน้ำเป็นวุ้นใส มียาง ดอกออกเป็นช่อยาว แทงขึ้นจากโคนต้น ว่านหางจระเข้มีบทบาทอย่างมากในการผลิตเครื่องสำอาง ความงาม และตั้งแต่โบราณกาลแล้ว สมัยอียิปต์ โรมัน อาหรับ อินเดียและจีน ประเทศเหล่านี้รู้จักการนำว่านหางจระเข้มาปลูกเพื่อนำยางจากใบมาทำเป็นยาดำ และเรียนรู้ด้วยว่าจะต้องปลูกในบริเวณที่ติดทะเล จึงจะให้ปริมาณยางสูง ว่านหางจระเข้ที่นำมาใช้ประโยชน์นั้น แบ่งเป็น 2 ส่วนคือส่วนที่ 1 ส่วนที่เป็นวุ้น รสเย็น เมื่อปอกเปลือกข้างในจะเป็นวุ้น ทาหรือฝานบางๆปิดแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก ดับพิษร้อน ทาผิวป้องกันแสงแดด รักษาสิวฝ้าและรอยแผลเป็น โดยเรียกเนื้อให้เต็ม ไม่ทำให้เกิดรอยแผลเป็น คุณสมบัติเหล่านี้เองที่ว่านหางจระเข้มักจะใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางที่ใช้บำรุงรักษาผิว หรือจะนำมา
รับประทานแก้โรคกระเพาะ บำรุงร่างกาย
แก้ร้อนใน ก็ได้ ทั้งนี้ต้องล้างยางสีเหลืองออกให้หมด
ส่วนที่ 2 ยางสีเหลืองจากใบ มักนิยมเลือกว่านหางจระเข้สายพันธ์ที่มีกาบใหญ่ โดยการทำให้แห้งเป็นก้อน ลักษณะสีน้ำตาลเข้มจนถึงสีดำ ผิวเงามันวาว เรียกว่า ยาดำ กลิ่นเหม็น รสขมจัด มักนำมาเข้าตำรับยาแผนไทยเพื่อใช้เป็นยาระบาย
ก่อนจะนำยาดำไปใช้ทำยา ต้องนำไป “สะตุ” ก่อน เพื่อทำให้ยาสะอาดขึ้น และทำให้ตัวยามีฤทธิ์อ่อนลง เนื่องจากยาดำนี้หากรับประทานมากเกินไป
จะทำให้ท้องเสีย และปวดท้องอย่างรุนแรง เพราะลำไส้บิดเกร็งตัว จนมีอาการอ่อนเพลีย ไตอักเสบ
และมีอาการแทรกซ้อนอื่นๆ ฉะนั้นจึงห้ามใช้กับผู้ที่เป็นริดสีดวงทวาร
และหญิงมีครรภ์ เพราะอาจทำให้แท้งได้
วิธีการสะตุยาดำ คือ นำยาดำไปตำให้แตกเป็นก้อนเล็กๆ จากนั้นนำยาดำใส่ในหม้อดิน
เติมน้ำเล็กน้อย ยกหม้อดินตั้งไฟบนเตาถ่าน สังเกตจนกว่าจะมีควันสีเหลือง
และเมื่อครันหมด ลองใช้ปลายมีดจิ้มดูจะกรอบๆ ก็เป็นอันใช้ได้ จนยาดำนั้นกรอบดีแล้ว
ใช้ตะหลิวตักขึ้นทึ้งไว้ให้เย็น เก็บไว้ในภาชนะที่ปิดสนิทเพื่อไว้ทำยาต่อไป ยาดำที่ผ่านการสะตุจะมีความเงาลดลง
และน้ำหนักเบา
ยาสามัญประจำบ้านแผนโบราณ ที่มียาดำแทรกอยู่ในตำรับ ได้แก่
ยามหาจักรใหญ่ สรรพคุณ แก้ลมทราง แก้อาการท้องอืด
ท้องเฟ้อ
วัตถุส่วนประกอบ
โกฐสอ โกฐเขมา โกฐพุงปลา โกฐก้านพร้าว โกฐกระดูก เทียนดำ
เทียนแดง เทียนขาว
เทียนข้าวเปลือก เทียนเยาวพาณี สมอไทย (เอาแต่เนื้อ) สมอพิเภก (เอาแต่เนื้อ) มะขามป้อม
(เอาแต่เนื้อ) ลูกจันทน์ ดอกจันทน์ ลูกกระวาน กานพลู
ชะเอมเทศ เมล็ดโหระพา
ลูกผักชีลา สารส้ม
ขมิ้นอ้อย หัวกระเทียม หนักสิ่งละ ๑ ส่วน ยาดำสะตุ หนัก ๔ ส่วน ใบกระพังโหม
หนัก ๓๐ ส่วน
วิธีทำ บดเป็นผง
ทำเป็นเม็ด หนักเม็ดละ ๐.๕ กรัม
สรรพคุณ แก้ลมทราง
แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ
ขนาดรับประทาน
รับประทานกับน้ำสุกก่อนอาหาร เช้า - เย็น
เด็กอายุต่ำกว่า
๕ ปี รับประทานครั้งละ ๑
- ๓ เม็ด เพิ่มและลดได้ตามส่วน
ขนาดบรรจุ ไม่เกิน ๒๐ เม็ด
ยาธรณีสันฑะฆาต
สรรพคุณ
แก้กษัยเส้น เถาดาน ท้องผูก
วัตถุส่วนประกอบ
ลูกจันทน์ ดอกจันทน์ ลูกกระวาน กานพลู เทียนดำ เทียนขาว
หัวดองดึง หัวบุก
หัวกลอย หัวกระดาดขาว หัวกระดาดแดง ลูกเร่ว ขิง ชะเอมเทศ รากเจตมูลเพลิงแดง
โกฐกระดูก โกฐเขมา
โกฐน้ำเต้า หนักสิ่งละ ๑ ส่วน ผักแพวแดง เนื้อลูกมะขามป้อม หนักสิ่งละ ๒ ส่วน
เนื้อลูกสมอไทย
มหาหิงคุ์ การบูร หนักสิ่งละ ๖ ส่วน รงทอง (ประสะแล้ว) หนัก ๔ ส่วน ยาดำ
หนัก ๒๐ ส่วน พริกไทยล่อน
หนัก ๙๖ ส่วน
วิธีทำ ชนิดผง
บดเป็นผง
ชนิดเม็ด บดเป็นผง
ทำเป็นเม็ด หนักเม็ดละ ๐.๒๕ กรัม
ชนิดแคปซูล บดเป็นผง
บรรจุผงยาแคปซูลละ ๐.๒๕ กรัม
สรรพคุณ แก้กษัยเส้น
เถาดาน ท้องผูก
ขนาดรับประทาน
รับประทาน วันละ ๑ ครั้ง ก่อนอาหารเช้าหรือก่อนนอน
ชนิดผง ผู้ใหญ่
ครั้งละ ครึ่ง
- ๑ ช้อนชา ละลายน้ำสุก หรือผสม
น้ำผึ้งปั้นเป็นลูกกลอน
ชนิดเม็ด ผู้ใหญ่
ครั้งละ ๒
- ๔ เม็ด
ชนิดแคปซูล ผู้ใหญ่
ครั้งละ ๒
- ๔ แคปซูล
คำเตือน ๑ คนเป็นไข้
เด็กหรือสตรีมีครรภ์ห้ามรับประทาน
๒ ผู้สูงอายุควรใช้ด้วยความระมัดระวัง
ขนาดบรรจุ ชนิดผง
ไม่เกิน ๑๕ กรัม
ชนิดเม็ด ไม่เกิน
๖๐ เม็ด
ชนิดแคปซูล ไม่เกิน ๖๐ แคปซูล
ยาถ่าย สรรพคุณ
แก้ท้องผูก
วัตถุส่วนประกอบ
ใบมะกา ใบมะขาม ใบส้มป่อย หญ้าไทร ใบไผ่ป่า ฝักคูน รากขี้กาแดง
รากขี้กาขาว รากตองแตก
เถาวัลย์เปรียง หัวหอม ฝักส้มป่อย สมอไทย สมอดีงู หนักสิ่งละ ๑ ส่วน
ขี้เหล็กทั้ง ๕
หนัก ๑ ส่วน ยาดำ หนัก ๔ ส่วน ดีเกลือฝรั่ง หนัก ๒๐ ส่วน
วิธีทำ ชนิดเม็ด
บดเป็นผง ทำเป็นเม็ด หนักเม็ดละ ๐.๕ กรัม
ชนิดแคปซูล บดเป็นผง
บรรจุผงยาแคปซูลละ ๐.๕ กรัม
สรรพคุณ แก้ท้องผูก
ขนาดรับประทาน
รับประทาน วันละ ๑ ครั้ง ก่อนนอน
ชนิดเม็ด ผู้ใหญ่
ครั้งละ ๒
- ๕ เม็ด ตามธาตุหนักธาตุเบา
ชนิดแคปซูล ผู้ใหญ่
ครั้งละ ๒
- ๕ แคปซูล ตามธาตุหนักธาตุเบา
ขนาดบรรจุ ชนิดเม็ด
ไม่เกิน ๑๐ เม็ด
ชนิดแคปซูล ไม่เกิน ๑๐ แคปซูล
เอกสารอ้างอิง
1.ชยันต์
พิเชียรสุนทรและวิเชียร จีรวงส์. (2556). คู่มือเภสัชกรรมแผนไทย
เล่ม 2 เครื่องยาพฤกษวัตถุ. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพมหานคร : บริษัท อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง
จำกัด (มหาชน).
2. มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
. (2555). เอกสารการสอนชุดวิชาเภสัชกรรมแผนไทย. พิมพ์ครั้งที่ 1.
นนทบุรี : สำนักพิมพ์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.
3. มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
. (2558). เอกสารการสอนชุดวิชาเภสัชกรรมแผนไทย 2. พิมพ์ครั้งที่ 1.
นนทบุรี : สำนักพิมพ์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.
4. กองการประกอบโรคศิลปะ
สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข.ตำราแพทย์แผนโบราณทั่วไป
สาขาเภสัชกรรม.
5.ฐาปวีส์
คงสุข.
(2543). สมุนไพรให้ความงาม. พิมพ์ครั้งที่
1. กรุงเทพมหานคร : บริษัท สำนักพิมพ์ประพันธ์สาส์น
จำกัด.
6. มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.ฐานข้อมูลเครื่องยาสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์. (ออนไลน์).แหล่งที่มา :
เข้าถึงเมื่อ 29 กุมภาพันธ์ 2563
7.สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา
กระทรวงสาธารณสุข.ยาสามัญประจำบ้านแผบโบราณ พ.ศ 2556.(ออนไลน์).แหล่งที่มา :
เข้าถึงเมื่อ 29 กุมภาพันธ์ 2563
8.สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา
กระทรวงสาธารณสุข.ยาสามัญประจำบ้านแผนโบราณ (ฉบับที่ 2) พ.ศ 2557.(ออนไลน์).แหล่งที่มา
:
เข้าถึงเมื่อ 29 กุมภาพันธ์ 2563
9.สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา
กระทรวงสาธารณสุข.ยาสามัญประจำบ้านแผนโบราณ (ฉบับที่ 3) พ.ศ 2562.(ออนไลน์).แหล่งที่มา
:
เข้าถึงเมื่อ 29 กุมภาพันธ์ 2563
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น